ผมชอบพูดคุยกับคนวัยเกษียณหรือใกล้เกษียณ เพื่อเรียนรู้ชีวิตของคนเหล่านี้ เป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ามาก เพราะเราได้บทเรียนชีวิตหลายสิบปีในเวลาสั้นๆ
หลายปีก่อน เคยถามปลัดกระทรวงสาธารณสุขท่านหนึ่งที่กำลังจะเกษียณในอีกไม่กี่สัปดาห์ ว่าวางแผนหลังเกษียณไว้อย่างไร
ท่านตอบ "ผมคิดว่า มันจะต้องมีอะไรดีๆ รออยู่ข้างหน้า เหมือนเรากำลังจะสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย" คำตอบของท่านเท่ห์มาก แม้จะไม่ได้ให้รายละเอียดอะไร แต่บ่งบอกทัศนคติต่อชีวิตของท่านเป็นอย่างดี
ปัจจุบันนี้ ท่านอดีตปลัดฯ ยังคงมีอะไรทำอยู่เรื่อยๆ แม้จะเกษียณมาหลายปีแล้วก็ตาม
ดูเหมือนว่า สำหรับท่านแล้ว ไม่มีคำว่า เกษียณ
สองวันก่อน ได้คุยกับอดีตผู้บริหารหญิงของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของไทย เธออยู่ในวัย 62 ปี สุขภาพดีเยี่ยม หน้าตาดูอ่อนวัย และยังคงทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดิม ผมถามเธอว่า "พี่เป็นอย่างไรบ้าง"
เธอตอบว่า กำลังพยายามหาวิธีจัดส่วนผสมของเวลาให้ลงตัว แต่ยังติดที่มีแต่คนเสนอให้ทำโน่นทำนี่ ทั้งที่ไม่ได้อยากรับงานอะไรแล้วในวัยนี้ สิ่งที่เธออยากทำให้มากขึ้น คือ อ่านหนังสือ ศึกษาธรรมะ มีเวลาให้กับตัวเอง
เธอเพิ่งเข้าร่วมอบรมสมาธิเป็นเวลา 10 วันเป็นครั้งแรก จัดเวลานั่งสมาธิทุกวัน และฝึกตามลมหายใจทุกครั้งที่ทำได้ แต่เธอยังรู้สึกว่า น่าจะทำได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
เธอถามผมกลับด้วยนะครับ แต่เรายังไม่มีโอกาสคุยกันมากกว่านี้ เพราะพอดีเวลาหมด
ถ้ามองดูชีวิตทุกช่วงวัยของคนเรา ผมคิดว่าช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด คือ ช่วงท้ายของชีวิตนี่แหละ
เพราะตลอดชีวิตของคนเราตั้งแต่เด็ก จะมีคนคอยบอกให้เราทำโน่นนี่อยู่เสมอ ตอนเด็ก พ่อแม่คอยบอกให้เราทำสิ่งต่างๆ พอถึงวัยเรียนก็มีคุณครูคอยให้การบ้าน และเราต้องคอยเตรียมสอบเลื่อนชั้น จบมาทำงานก็มีเจ้านาย แม้เราจะเติบโตในงาน ก็มักจะต้องทำตามหน้าที่ หรือคำสั่งของใครบางคนที่อยู่เหนือเรา
วัยเกษียณจึงเป็นวัยที่เรามีอิสรภาพในการเลือกมากที่สุด และยังเป็นวัยที่ไม่มีสูตรสำเร็จให้เราทำตาม ยิ่งในปัจจุบันคนเรามีอายุยืนยาวขึ้นมาก อายุขัยเฉลี่ยกำลังไต่ไปถึงแปดสิบปีหรือกว่านั้น เราก็ยิ่งต้องเตรียมสะสมต้นทุนด้านต่างๆ เพื่อค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมในช่วงครึ่งหลังของชีวิต
คุยกับคนวัยนี้ทุกครั้ง ก็มักมีการบ้านให้กลับมาขบคิด ผมคิดว่า มันมีแต่ได้กับได้ หรือคุณคิดว่าไง